สถิติ
เปิดเมื่อ | 4/11/2012 |
อัพเดท | 14/02/2019 |
ผู้เข้าชม | 741465 |
แสดงหน้า | 1575796 |
ปฎิทิน
|
Sun |
Mon |
Tue |
Wed |
Thu |
Fri |
Sat |
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | | |
|
บทความ
|
EGR อุดหรือไม่อุด...มาดูกัน
อันดับแรกก่อนจะมาพูดกันถึงเรื่องอื่นผมขอบอกก่อนว่าผมหนักใจพอสมควรที่จะมาเล่นกับสิ่งแวดล้อม
ที่ทุกคนรักและหวงแหนรวมทั้งผมด้วย..เพราะงั้นเลยขอแนะนำว่าอย่าเน้นประเด็นรักสิ่งแวดล้อมกันในกะทู้นี้ล่ะกันน่ะ
อันดับแรกมาดูการทำงานของระบบ EGR กันก่อนว่ามันคืออะไรกันแน่..
'EGR (exhaust Gas Recirculation)'
ใช้เพื่อการลด NOx (nitrous oxides) ซึ่งเป็นแก๊สพิษ NOx เกิดจากการที่ ไนโตรเจน กับออกซิเจนในอากาศ มาคลุกเคล้ารวมตัวกันแล้วเกิดการเผาไหม้ในลูกสูบ โดยช่วงของอุณหภูมิการเผาไหม้สูงกว่า 1,800 C(3,300 F)วิธีการคือ กล่อง ECU จะรับข้อมูลมาจากเซนเซอร์ต่างๆ ทั้ง อุณหภูมิแก๊สไอเสีย ส่วนผสมหนาบาง และอื่นๆอีกแล้วมาประมวลผล ซึ่งถ้า ECU ตรวจพบว่าสภาวะการเผาไหม้อาจก่อให้เกิด NOx ได้ ก็จะส่งสัญญาณไปสั่งให้ EGR วาล์วเปิด เพื่อให้แก๊สไอเสียบางส่วนไหลกลับเข้าไปเผาไหม้ซ้ำอีกครั้ง (คล้ายๆกับการลดประสิทธ์ภาพทางความร้อนจากการเผาไหม้ให้ลดลง)เพื่อไม่ให้ อุณหภูมิในการเผาไหม้สูงเกินจุดเปลี่ยน...
ดังนั้นใน บางจังหวะที่วาล์วมีการเปิดมาก หรือ นานเกินไป เพื่อให้แก๊สไอเสียวนกลับไปเผาใหม่อีกครั้งมีมากเกินไป
ก็ อาจทำให้เกิดควันดำตามออกมาได้...โดยเฉพาะรถที่วิ่งช้าๆ แต่ใช้รอบเครื่องต่ำ(ลากเกียร์สูง)นานๆ อย่างในกรณีคล้ายๆรถสองแถวจะทำให้อุณหภูมิในการเผาไหม้สูงอย่างต่อเนื่อง วาล์วก็จะเปิดนาน ทำให้เกิดควันดำมากขึ้น แล้วเกิดการสะสมของเขม่า ตามจุดต่างๆในระบบ วิธีการแก้ไขอย่างง่าย...ทำการเร่ง เครื่องให้รอบสูงๆ คล้ายๆการเบิ้ลเครื่องเล่น แต่ลากยาวๆหน่อยนึงเพื่อให้เกิดการไล่เขม่าและไอเสียเดิมออกไปอีกวิธีคือการ เข้าศูนย์บริการ ให้ดำเนินการแก้ไขโปรแกรม ECU ใหม่...
การ อุด EGR วาล์ว ไม่ใช่วิธีที่ถุกต้องในเชิงวิชาการ(หรือเชิงวิทยาศาตร์) เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดไอพิษจากแก๊ส ด้อยลง เป็นการเพิ่มหรือเร่งการทำลายสภาวะแวดล้อมโลกเพิ่มขึ้นอีกทางนึงด้วย...ท่าน อาจคิดว่า...เราอุดแค่คันเดียวมันจะกระทบสักเท่าไหร่กัน...ท่านลองไปยืนท้าย รถที่จอดติดเครื่อง แล้วถามใจท่านดูว่ารู้สึกอย่างไรแล้วรถยนต์ในกทม. มีเป็นสิบล้านคัน ถ้าทำอย่างนี้แค่ 5เปอร์เซนต์(ประมาณ 5แสนคัน) ท่านคิดว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร ทุกอย่าง อาจไม่เห็นผลกับตัวเราในวันนี้แต่แน่ใจหรือว่าอยากให้ลูกหลานเราในอนาคต ต้องมารับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้....................
ท่านยอมเสีย ประสิทธิภาพของรถยนต์ลงสัก2-3เปอร์เซนเพื่อแลกกับสิ่งดีให้ลูกหลานในอนาคต
หรือท่านอยากได้ความแรงความมันเพิ่มอีกสัก 2-3 เปอร์เซนต์โดยยอมแลกสิ่งดีๆในอนาคตของลูกหลานทิ้งไป....
(เพราะเราอาจไม่ได้ อยู่ร่วมรับชะตากรรมร้ายกับเขาก็ได้จะไปสนใจทำไมล่ะ...ก็แล้วแต่ศรัทธา ครับ....)
ที่ผ่านมาได้มีการคิดค้นวิธีในการลดมลพิษต่างๆ วิธีหนึ่งคือการใช้ระบบหมุนเวียนไอเสีย Exhaust Gas Recirculation (EGR)
ซึ่ง ในครั้งแรกการใช้ EGR ก็เพื่อจะนำความร้อนจากไอเสียเวียนกลับเข้ามาในเครื่องยนต์ ช่วยให้อุณหภูมิของไอดีสูงขึ้นในกระบวนการเผาไหม้เพื่อเป็นการประหยัด พลังงาน แต่ประโยชน์ที่ได้รับกลับกลายเป็นสามารถลดออกไซด์ของไนโตรเจน (NOX) ได้ซึ่งก๊าซนี้เป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
และในปี ค.ศ.2002 ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศสหรัฐอเมริกา US Environmental Protection Agency หรือ EPA ได้กำหนดให้ลด NO X ลงอีก 50 % จากมาตรฐานปี ค.ศ 1998 ( จาก 4.0 เป็น 2.0 g / Break Horse-hr.) และมาตรฐานมลพิษของประเทศอื่นๆ ก็มีแนวโน้มในการลด NOX มากขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่จำเป็นต้องติดตั้งระบบ EGR มากขึ้น
แต่ระบบ EGR ก็มีข้อเสียคือความร้อนและสิ่งสกปรกที่เวียนกลับมากับไอเสีย ทำให้เครื่องยนต์มีคราบเขม่าเกาะจับ
และ น้ำมันเครื่องมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงเสื่อมสภาพเร็ว อีกทั้งมีธาตุกำมะถันและไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่บางส่วน ทำให้แปรสภาพเป็นกรด เกิดสนิมและเครื่องยนต์สึกหรอมากขึ้น ดังนั้นน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่ติดตั้ง EGR นี้จะต้องมีความคงทน และ คุณสมบัติพิเศษในการกำจัดสิ่งสกปรก กรดหรือป้องกันสนิมได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการจะกล่าวว่าการมี EGR นั้นช่วยลด NOX ใด้ก็จริงเเต่อาจเป็นการเพิ่่มการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นหากเครื่องยนต์ทำงาน ด้อยลงและสกปรกมากขึ้น มันก็เผาใหม้ไม่มดจดเหมือนเมือก่อน หากเป็นเช่นนั้นแล้วระบบ EGR ก็ช่วยลด NOX ใด้แต่ทำให้เครื่องยนต์อายุสั้นลงเพิ่มการใช้น้ำมัน EGR ก็ช่วยใด้เเค่ตอนแรกที่ระบบมันยังใหม่อยู่นั้นเอง หากจะให้ระบบนี้ช่วยลดก๊าชพิษแล้วต้องวิจัยและพัฒนาให้ระบบดูแลตัวเองใด้ ด้วย จึงจะเปนการใช้ระบบ EGR อย่างสมบูรณ์แท้จริง ดังนั้นถ้าหากจะพูดถึงเรื่องรักษ์ธรรมชาติแล้ว หากการอุดนั้นอาจเพิ่มก๊าชพิษก็จริง แต่หากอุดเเล้วเป็นการลดการใช้น้ำมันลง 1-2%ต่อคันคิดดูล่ะกัน 1-2%ของล้านคันจะประหยัดใด้เท่าไหร่ ประหยัดเงินเท่าไหร่ และที่สำคัญหากเครื่องยนต์ทำงานเต็มที่เผาใหม้หมดจด ก๊าชที่ใหนจะมาเหลือให้เป็นพิษเยอะนักหล่ะว่ามั้ยครับ..
ที่มาของข้อมูลบางส่วน http://fordfocussociety.com/index.php?topic=345.0
ไปดูข้อมูลทางเทคนิค http://www.fordscorpio.co.uk/egr.htm
นี่เขาบอกว่าต้อองอุดทำไมไปดู http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view.php?user=clubsdmax&board=1&id=62918&c
อีกอัน http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view.php?user=clubsdmax&board=1&id=60002&c=1&key=baw
ที่เหนคือเครื่องเบนซินคับมันเกาะไปถึง ลิ้นปิกผีเสื้อกันเลย..
เอาหล่ะที่นี้ถ้าจะให้มาตัดสินใจกันว่าจะว่าจะอุดหรือไม่อุดผมไม่มีคำตอบให้ แต่ว่าอยากจะบอกว่าระบบนี้เป็นระบบที่ยังไม่สมบูรณ์มันยังมีทั้งข้อดีและ เสียแบบ 50:50
ผมเลยอยากจะยกตัวอย่างแบบนี้ว่า....
1.น้าบีหนึ่งบอกว่าไม่ อุดดีเเล้วเพราะมันช่วยลด ไนโตรอ็อกไซค์ และคาร์บอนมอน็อกไชค์ใด้ตั้ง 1-2% จากไอเสียที่ปล่อยออกไป ถ้ามันสกปรกมากก็ถอดออกมาล้างท่อร่วมไอดีทุุกๆ 20,000กิโลก็ใด้เเล้วหล่ะ
2.ส่วนน้าบีสองบอกว่า ผมแนะนำให้อุดเพราะเราก็ถือว่าช่วยสิ่งแวดล้อม ถ้าลองดูดีเราอุด EGR ก็ยังมีระบบแคทตาไลติกช่วยกั้นสารเหล่านี้ออกไปอยู่ดี และการอุดช่วยให้ประหยัดน้ำมันลง 2-3% และยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องอีกเครืองสึกหรอช้าลงใช้ใด้นานขึ้น อย่างงี้ประหยัดทรัพย์กรธรรมชาติมั้ย ช่วยโลกใหมจ๊ะ
ที่นี้มาดูการทำงานของระบบแคทตาไลติคกันอีกเอาให้หมดไปเลยก็เราคุยกันถึงเรื่องไอเสียนี่
'การทำงานของเจ้าแคตตาไลติกครับ'
เจ้าแคตตาไลติกหลักมันมีหน้าที่ทำลายเจ้าพวกมลพิษครับ
วิธีการทำงานง่ายๆก็คือ ในเจ้าตัวของมันนี่ประกอบด้วยโลหะที่มีคุณสมบัติที่เมื่อได้รับความร้อนแล้ว
ตัว มันจะยิ่งแผ่ความร้อนออกมาได้อย่างมหาศาล(จำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือทองคำขาว หรือแพลตตินั่มครับ ราคาใหม่ๆมันถึงได้แพง)นั่นคือเมื่อเจ้าแคตตาไลติกได้รับความร้อนจากเครื่อง ยนต์ ตัวมันก็จะยิ่งแผ่ความร้อนออกมา เจ้าความร้อนมหาศาลนี่แหล่ะครับที่เป็นตัวเผาทำลายฝุ่นและก๊าซพิษที่ออกมา ทางท่อไอเสีย (เพื่อนๆที่ทำงานเป็นวิศวกรน่าจะขยายความได้ดีกว่าผม)
แคตตาไลติกเมื่อใช้งานไปนานๆเข้าความสามารถในการแผ่ความร้อนมันลดลงครับ ทำลายมลพิษได้ไม่ดีเท่าเดิม
และ ด้วยเขม่าต่างที่เจ้าแคตตัวนี้เผากักเอาไว้ทำให้ตัวมันเองมีอายุการใช้งาน แต่ถ้าจะถอดออกก็อย่าลืมเอากลับบ้านด้วยนะครับ ขายเองเติมน้ำมันได้ตั้งถังนึง ประมาณนี้ไม่งั้นร้านท่อไอเสียจะใด้เก็บเอาไว้ขายเองเพราะสารวัตถุพวกนี้
สามารถเอาไปหลอมแยกออกมาเอาไปทำขดลวดความร้อนเตารีดและฮีทเตอร์ใด้ครับ ส่วนเพิ่มเติมเรื่องตัดไม่ตัดเเคตดี หรือจะตัดเวลาใหนนั้น ความคิดเห็นของผมคิดว่าน่าจะใช้งานมันให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าจะบอกว่ารถออกใหม่มีแคตแล้วเครื่องอั้นไอเสียคงจะมั่วไปหน่อยเพราะ การคำนวณของวิศวะกรผู้ออกแบบเค้าทำมาใด้ลงตัวแล้ว ฉะนั้นการจะตัดตอนรถใหม่ๆนั้นคงไร้ประโยชน์และน่าจะเป็นความคิดที่น่าฉุน ไปหน่อยเพราะเจ้าแคตนี้จะช่วยเรื่องก๊าชพิษในอากาศ และเรื่องฝุ่นละอองใด้ดีทีเดียว ส่วนถ้าใช้ไปเป็น
www.obdtaem.com
|
|
|
|
|